Header Ads Widget

Header ADS

ไมเกรน...หายได้ไม่ยากอย่างที่คิด

 #ไมเกรน...หายได้ไม่ยากอย่างที่คิด

ไมเกรน (migraine) เป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่งที่รบกวนชีวิตประจำวัน ลักษณะอาการที่สังเกตได้ คือ ปวดศีรษะแบบตุบๆ มักจะเกิดข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ โดยส่วนใหญ่มักพบในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

วันนี้แพทย์จีนประจำสถาบันสุขภาพการแพทย์ผสมผสาน IMI WELLNESS ได้มาแนะนำอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยในการรักษาอาการปวดศีรษะแบบไมเกรน จะเป็นอย่างไรนั้น มาติดตามกันได้เลยค่ะ

ไมเกรนคืออะไร ?

“เป็นอาการปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทที่มีความไวต่อการกระตุ้นมากเป็นพิเศษกล่าวคือ มีการหด และขยายตัวของหลอดเลือดอย่างผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง ติดต่อกันนาน 4-72 ชั่วโมง ผู้ป่วยอาจปวดศีรษะข้างเดียวหรือย้ายข้างไปมา หรือย้ายตำแหน่ง ลักษณะอาการจะเป็นๆ หายๆ ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้นและอาจพบจากประวัติทางกรรมพันธุ์ด้วยบางส่วน ผู้ป่วยส่วนมากจะเริ่มเป็นเมื่ออายุยังไม่มากนัก”

มีลักษณะอาการอย่างไร ?

“การปวดศีรษะแบบไมเกรนมีลักษณะค่อนข้างชัดเจน คือ จะปวดบริเวณขมับโดยอาจจะปวดข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ และมักจะปวดข้างเดิมอยู่ซ้ำ ๆ ลามไปจนถึงบริเวณเบ้าตา คนไข้จะปวดตุ้บๆ ตามจังหวะของชีพจร อาการปวดจะรุนแรงและยาวนาน จะปวดมากขึ้นเมื่อขยับร่างกายหรือศรีษะ และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและเวียนศีรษะร่วมด้วย”

การปวดศีรษะแบบไมเกรนในมุมมองแพทย์จีนเป็นอย่างไร ?

“ จริงๆ แล้วในทางการแพทย์แผนจีน อาการไมเกรน (migraine) จัดรวมอยู่ในกลุ่มโรคปวกศีรษะ ซึ่งอาจมีสาเหตุการเกิดทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในเข้ามาเกี่ยวข้อง ปัจจัยภายนอกอาทิเช่น ลมเย็น ลมร้อน ลมชื้น ส่วนปัจจัยภายในนั้นมักมีความสัมพันธ์กับอวัยวะตับ ม้ามและไตที่ทำงานผิดปกติจนทำให้เกิดอาการปวดขึ้นมา”

แผนจีนสามารถรักษาได้อย่างไรบ้าง ?

“ แพทย์จีนกับแพทย์แผนปัจจุบันจะมีการรักษาที่ค่อนข้างแตกต่างกัน สำหรับแพทย์แผนจีนจะมองคนไข้โดยพิจารณาจากองค์รวมทั้งหมด ใช้เวลารักษาโดยรวมประมาณ 2-5 เดือน ขึ้นอยู่กับลักษณะอาการและระยะเวลาที่เป็นของคนไข้แต่ละคน โดยจะวินิจฉัยโรคตั้งแต่การพูดคุยสอบถามอาการ ฝังเข็มเพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะและปรับสมดุลร่างกาย ให้ร่างกายคนไข้กลับเข้าสู่สภาวะสมดุลและค่อยๆ ฟื้นฟูจนกระทั่งสามารถหายได้เอง ควบคู่ไปกับการทานยาจีนเพื่อบำรุงอวัยวะภายในร่วมด้วย”

“ ในการฝังเข็มส่วนใหญ่ก็จะฝังบริเวณศีรษะ ต้นคอ บริเวณไหล่ หลังและขา เข็มที่ใช้จะเป็นเข็ม Dry Needling ชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

ซึ่งมีขนาดเล็กและบางมาก เวลาฝังลงไปจึงแทบจะไม่มีความรู้สึกเจ็บ ในส่วนของยาก็มีการปรับให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของคนไข้ ยาที่ศูนย์เราใช้จะเป็นแบบตำรับสูตรเฉพาะบุคคลซึ่งหมอจะเป็นคนสั่งจ่าย ทั้งนี้อาจจะต้องมีการปรับยากันทุก 2-3 สัปดาห์ เพื่อติดตามอาการและพูดคุยถึงความเป็นไปของโรค”

เคสที่รักษายากที่สุด ?

“สำหรับหมอเคสที่รักษายากคือเคสที่ปล่อยไว้จนกลายเป็นอาการเรื้อรังค่ะ จึงอยากแนะนำว่าใครก็ตามที่มีเริ่มอาการหรือรู้สึกว่ามีอาการปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติ อย่าปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นเรื้อรังควรจะรีบปรึกษาแพทย์ เพราะยิ่งรักษาเร็วเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสกลับมาเป็นปกติเร็วมากขึ้นเท่านั้นค่ะ”

#ปวดศีรษะ...อาการที่ไม่ควรมองข้าม

อาการปวดศีรษะ เป็นอาการที่สามารถพบได้ในทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย โดยทั่วไปแล้วนั้นเราทุกคนต่างก็เคยประสบกับอาการปวดศีรษะมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการทำงาน หากเป็นชั่วคราวนานๆเกิดขึ้นครั้งหนึ่งนั้นก็ยังไม่น่าวิตกอะไรมากนัก ทานยาแก้ปวดไม่กี่ครั้งก็สามารถทุเลาและหายจากอาการปวดศีรษะได้ แต่ที่เป็นปัญหาและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมากคือการปวดแบบเรื้อรัง ซึ่งจะเกิดขึ้นซ้ำๆเป็นประจำ ต้องคอยรับประทานยาเพื่อระงับอาการปวดอยู่ตลอดเวลา ในบางกรณีเมื่อทานยาไปถึงระยะเวลาหนึ่งกลับต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นจึงจะสามารถระงับอาการปวดนั้นๆไว้ได้

วันนี้แพทย์จีนประจำสถาบันสุขภาพการแพทย์ผสมผสาน IMI WELLNESS ได้มาแนะนำอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยในการรักษาอาการปวดศีรษะ จะเป็นอย่างไรนั้น มาติดตามกันได้เลยค่ะ

อาการปวดศีรษะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

“ทางการแพทย์แผนปัจจุบันแบ่งสาเหตุของการปวดศีรษะได้ดังนี้ 1.สาเหตุจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อรอบศีรษะและบริเวณคอ 2.สาเหตุจากการทำงานของระบบประสาทที่ผิดปกติ 3.สาเหตุจากการขยายตัวหลอดเลือดบริเวณศีรษะ 4.สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และ5.สาเหตุจากจากโรคหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

แต่สาเหตุที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน คือการปวดศีรษะจากความเครียด (tension headache) ซึ่งหากเป็นเรื้อรังมาก ๆ จะนำไปสู่การปวดศีรษะไมเกรน (migraine)ได้นั่นเองค่ะ”

แผนจีนสามารถรักษาได้อย่างไรบ้าง ?

“ แพทย์จีนกับแพทย์แผนปัจจุบันจะมีการรักษาที่ค่อนข้างแตกต่างกัน สำหรับแพทย์แผนจีนจะมองคนไข้โดยพิจารณาจากองค์รวมทั้งหมด ใช้เวลารักษาต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะอาการและระยะเวลาที่คนไข้มีอาการในแต่ละคน โดยจะวินิจฉัยโรคตั้งแต่การพูดคุยสอบถามอาการ ฝังเข็มเพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะและปรับสมดุลร่างกาย ให้ร่างกายคนไข้กลับเข้าสู่สภาวะสมดุลและค่อยๆ ฟื้นฟูจนกระทั่งสามารถหายได้เอง ควบคู่ไปกับการทานยาจีนเพื่อบำรุงอวัยวะภายในร่วมด้วย”

“ ในการฝังเข็มส่วนใหญ่ก็จะฝังบริเวณศีรษะ ต้นคอ ไหล่ แขนและขา เข็มที่ใช้จะเป็นเข็ม Dry Needling ชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

ซึ่งมีขนาดเล็กและบางมาก เวลาฝังลงไปจึงแทบจะไม่มีความรู้สึกเจ็บ ในส่วนของยาก็มีการปรับให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของคนไข้ ยาที่ศูนย์เราใช้จะเป็นแบบตำรับสูตรเฉพาะบุคคลซึ่งหมอจะเป็นคนสั่งจ่าย ทั้งนี้อาจจะต้องมีการปรับยากันทุก 2-3 สัปดาห์ เพื่อติดตามอาการและพูดคุยถึงความเป็นไปของโรค”

เคสที่รักษายากที่สุด ?

“สำหรับหมอเคสที่รักษายาก คือเคสที่ไม่รู้ตัวแล้วปล่อยไว้จนกลายเป็นอาการเรื้อรังนำไปสู่อาการที่หนักกว่าเดิมค่ะ จึงอยากแนะนำว่าใครก็ตามที่มีเริ่มอาการปวดศีรษะหรือปวดตึงบริเวณต้นคอ อย่าปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นเรื้อรังควรจะรีบปรึกษาแพทย์ เพราะยิ่งรักษาเร็วเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสกลับมาเป็นปกติเร็วมากขึ้นเท่านั้นค่ะ”

#ปวดศีรษะบ่อย...ควรทำอย่างไร

อาการปวดศีรษะ ที่สามารถพบได้ในทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งบางครั้งก็อาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการทำงานได้ แต่นอกจากการทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดแล้วยังสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยลดการเกิดอาการและลดการปวดศีรษะลง...

วันนี้แพทย์จีนประจำสถาบันสุขภาพการแพทย์ผสมผสาน IMI WELLNESS ได้มาแนะนำอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะด้วยตัวเองง่ายๆ จะเป็นอย่างไรนั้น มาติดตามกันได้เลยค่ะ

สาเหตุอาการปวดศีรษะในทางการแพทย์แผนจีน ?

“ทางการแพทย์แผนจีนมองว่าสาเหตุหลักๆ เป็นสองประเภทคือจากปัจจัยภายในและจากปัจจัยภายนอก โดยสาเหตุของอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อยจะมาจาก ‘ลม’ ที่เป็นปัจจัยการเกิดโรคภายนอกมากระทบร่างกาย รวมไปถึงอารมณ์ อาหารการกิน และความพร่องของร่างกายผู้ป่วย ล้วนเป็นปัจจัยเสริมให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะทั้งสิ้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เลือดและลมปราณพร่องส่งผลให้ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ หรือในบางกรณีเกิดการอุดตันของเส้นเลือด เส้นลมปราณที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงสมอง จึงทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ”

ถ้ามีอาการปวดแต่ไม่อยากทานยาควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

“ผู้ที่ปวดศีรษะโดยปวดต้นคอ บ่า ไหล่ และปวดหลังร่วมด้วย

มักเกิดในผู้ที่ปวดศีรษะจากลมเย็นผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงอากาศเย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่มหรืออาหารที่มีฤทธิ์เย็น น้ำเย็น วิธีการสังเกตตนเองอย่างง่ายคือ หากท่านโดนความเย็นเช่นนั่งทำงานในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิต่ำๆ นั่งใต้เครื่องปรับอากาศที่โดนลมกระทบบริเวณศีรษะหรือต้นคอแล้วเกิดอาการปวดเมื่อย หลังจากนั้นจะเริ่มปวดศีรษะ  แนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น นวดผ่อนคลายบริเวณคอบ่าไหล่ และประคบร้อนโดยนำผ้าขนหนูแช่ในน้ำอุ่นบิดพอหมาดแล้วประคบบริเวณที่ปวด หรืออาจใช้ถุงน้ำร้อนแทนก็ได้”

“ผู้ที่ปวดศีรษะบริเวณขมับ หรือด้านข้างศีรษะทั้ง 2 ด้าน

มักพบในผู้ที่วิตกกังวล มีความเครียด แนะนำให้ลองนำน้ำแข็งประคบบริเวณที่ปวด โดยเฉพาะขมับซึ่งเป็นบริเวณที่มักเกิดอาการปวดได้บ่อย ซึ่งเป็นจุดที่ใช้ในการรักษาอาการปวดศีรษะรวมไปถึงใช้ในผู้ที่รู้สึกสายตาเมื่อยล้าได้อีกด้วย นอกจากจะประคบด้วยน้ำแข็งแล้วอาจจะนวดเบาๆ ไปด้วยก็จะทำให้อาการปวดลดลงได้ค่ะ”

อาการปวดระดับไหนถึงควรพบแพทย์ ?

“หากลองทำตามคำแนะนำข้างต้นแล้วอาการปวดยังไม่ลดลงหรือผ่านไปไม่นานก็ลับมาเป็นอีกหรือทานยาแล้วก็ยังไม่หาย เกิน 3-4 ครั้งแนะนำให้เข้ามาปรึกษากับหมอเพื่อหาสาเหตุของการเกิดอาการที่แท้จริงค่ะ อย่าปล่อยจนอาการนั้นเริ่มกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือกระทบต่อการทำงาน เพราะเมื่อถึงอาการถึงระดับที่เริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้วเมื่อเข้ามาทำหารรักษาก็จะใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าที่ควรจะเป็นค่ะ”

#เป็นไมเกรน หรือ ไซนัสกันนะ...???

รู้สึกปวดศีรษะ ปวดจนแทบทนไม่ไหว ทานยาก็ยังไม่ดีขึ้นหรือดีขึ้นไม่นานก็กลับมาเป็นอีก อาการเหล่านี้...หลายๆ คนอาจจะแยกไม่ออกว่าเป็นอาการของไมเกรนหรือไซนัส สำหรับใครหลายๆ คนที่กำลังประสบปัญหาเหล่านี้ อย่าเพิ่งกังวลใจไปค่ะ เพราะสามารถแยกออกได้ง่าย ๆ ไม่ยากอย่างที่คิด

วันนี้แพทย์จีนประจำสถาบันสุขภาพการแพทย์ผสมผสาน IMI WELLNESS ได้มาแนะนำความแตกต่างระหว่างอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนและไซนัส จะเป็นอย่างไรนั้น มาติดตามกันได้เลยค่ะ

ทั้งสองโรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

“​ไมเกรน (migraine) เป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่งที่รบกวนชีวิตประจำวัน ลักษณะอาการที่สังเกตได้ คือ ปวดศีรษะแบบตุบๆ มักจะเกิดข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ โดยโรคไมเกรนส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง

ซึ่งจะต่างจาก ไซนัส (Sinus) เนื่องจากไซนัสจะปวดบริเวณโพรงไซนัสโดยทั่วไปมีอยู่ข้างละ 4 โพรง ได้แก่ บริเวณระหว่างตาทั้งสองข้าง แก้ม หน้าผาก และใต้ฐานกะโหลกศีรษะ หากโพรงไซนัสเหล่านี้ติดเชื้อและเกิดอาการอักเสบขึ้น เราจะเรียกโรคนั้นว่า ‘เป็นไซนัสอักเสบ’ และเกิดอาการปวดดขึ้น จึงทำให้คนไข้สับสนระหว่างอาการปวดไมเกรนและปวดไซนัสได้ค่ะ”

ทั้งสองโรคมีอาการใดที่สามารถแยกกันอย่างชัดเจนได้บ้าง?

“​ไมเกรน จะมีอาการปวดตุ้บๆบริเวณขมับโดยอาจจะปวดข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ และมักจะปวดข้างเดิมอยู่ซ้ำ ๆ ลามไปจนถึงบริเวณเบ้าตา อาการปวดจะรุนแรงและยาวนาน จะปวดมากขึ้นเมื่อขยับร่างกายหรือศรีษะ และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและเวียนศีรษะร่วมด้วย

ในส่วนของไซนัส จะมีอาการปวดตื้อๆ บริเวณหน้าผาก เหนือคิ้ว สันจมูก โพรงไซนัส รวมไปถึงโหนกแก้ม รู้สึกไม่สบายตัว พร้อมมีไข้ ไอบ่อย คัดจมูก และมีน้ำมูกข้นเขียวหรือเหลืองค่ะ”

ทั้งสองโรคสามารถรักษาทางแพทย์แผนจีนได้ไหม ?

“หากสนใจสามารถเข้ามาปรึกษาได้ค่ะ อย่างที่ทราบกันดีว่าสำหรับแพทย์แผนจีนจะมองคนไข้โดยพิจารณาจากองค์รวมทั้งหมด เวลาที่ใช้ในรักษาจะต่างกันไปขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้แต่ละคน โดยจะวินิจฉัยโรคตั้งแต่การพูดคุยสอบถามอาการ ฝังเข็มเพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะและปรับสมดุลร่างกาย ให้ร่างกายคนไข้กลับเข้าสู่สภาวะสมดุลและค่อยๆ ฟื้นฟูจนกระทั่งสามารถหายได้เอง ควบคู่ไปกับการทานยาจีนเพื่อบำรุงอวัยวะภายในร่วมด้วยค่ะ”

Post a Comment

0 Comments

News Update !!!

 ‘Feldhaus Klinker’ พร้อมขนทัพอิฐบางจากยุโรป จัดแสดงที่งานสถาปนิก’67  วันที่ 30 เม.ย. – 5 พ.ค.67 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี